ความเชื่อของคนอียิปต์ในการรักษาศพด้วยวิธีมัมมี่

อียิปต์ ในยุคสมัยโบราณเมื่อมีคนตายก็จะนำศพไปฝังไว้ในทะเลทรายอันร้อนระอุ ความร้อนและความแห้งแล้งทำให้ร่างกายแห้งอย่างรวดเร็ว โดยที่แบคทีเรียไม่มีโอกาสได้ย่อยสลายศพเสียก่อน จึงกลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติ คงจะมีการค้นพบโดยบังเอิญ ดังเช่นในภาพเป็นศพชาวอียิปต์โบราณที่ถูกฝังตามธรรมดาโดยมิได้มีการตบแต่งทำให้ไม่มีการย่อยสลายแต่อย่างไร แต่ศพที่กลายเป็นมัมมี่ไปตามธรรมชาติก็อยู่รอดมาให้ค้นพบได้ในสมัยปัจจุบัน โดยต่อมาชาวอียิปต์ก็เริ่มใช้โลงบรรจุศพก่อนฝังเพื่อป้องกันมิให้สัตว์ป่าแทะกินศพ แต่ก็กลับพบว่าซากศพที่ฝังในโลงได้เปื่อยเน่าไป ไม่แห้งและอยู่คงทนเหมือนแต่ก่อน เพราะโลงศพทำหน้าที่เก็บกักความชื้นจากร่างกาย เพียงพอที่จะอำนวยให้แบคทีเรียเจริญเติบโต และทำการย่อยสลายให้ศพเน่าเปื่อยสูญไปได้

ต่อมาหลายร้อยปี ชาวอียิปต์ก็ได้ศึกษาทดลองวิธีต่างๆเพื่อจะรักษาสภาพศพให้คงทนอยู่ได้ กรรมวิธีในการรักษาศพให้คงทน ประกอบด้วยการแช่อาบศพด้วยสิ่งที่ชะงักการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แล้วพันด้วยแถบผ้าลินิน ปัจจุบันเราเรียกกรรมวิธีนี้ว่า การทำมัมมี่ วิธีนี้เริ่มสมัยราชวงศ์ที่สี่ ซึ่งนักโบราณคดีขุดพบเป็นจำนวนมากที่เมืองไมดูม บางทีมัมมี่ที่ขุดพบจะมีเฉพาะส่วนของร่างกายที่ห่อหุ้มไว้เท่านั้นส่วนเครื่องในที่แยกเก็บไว้จะหายไป ทั้งนี้นักโบราณคดีเชื่อว่า บางทีศพของขุนนางชั้นสูงหรือผู้ร่ำรวย การเก็บห่อเครื่องในนิยมเก็บในภาชนะที่มีค่าต่าง ๆเช่นหม้อไหทองคำล้วน เมื่อนักขโมยสมบัติพบเข้าก็นำเอาไปทั้งภาชนะที่ใส่ เพราะไม่ต้องการเสียเวลากับการเอาออกแนวความคิดดังกล่าวได้รับการยอมรับว่าเป็นจริง

จากการที่พบมัมมี่ของราชินีเฮตเฟรส พระราชมารดาของฟาโรห์คูฟู ในสุสานโบราณที่เมืองกีซ่า เครื่องในของมัมมี่ถูกแยกเก็บไว้ในกล่องห่อด้วยผ้าลินินที่แช่น้ำยานาทรอน เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อย การเก็บเครื่องในมัมมี่ลักษณะเดียวกันนี้ เริ่มใช้กับประชาชนสมัยราชวงศ์ที่ห้าและราชวงศ์ที่หก ซึ่งจะเก็บไว้ในหม้อ-ไหหินที่มีไม้ประกบอยู่ภายนอกและสุสานที่เก็บเครื่องใน ในหม้อหรือไหหินจะไม่มีช่องบริเวณผนังสุสานเจาะไว้สำหรับเก็บห่อเครื่องใน ดังในสมัยราชวงศ์ก่อน บางครั้งหม้อดินหรือไหหินใส่เครื่องในจะถูกเก็บไว้ในสถูปเล็กๆภายในสุสานเดียวกัน บางทีทำเป็นช่องตรงพื้นสุสาน ที่น่าสนใจคือ ไม่ว่าจะเป็นสถูปหรือช่องบนพื้นสุสาน จุดที่ตั้งนั้นจะอยู่ตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงใต้เสมอ ซึ่งนักโบราณคดียังหาคำตอบในเรื่องนี้ไม่ได้

หลักการพิธีงานศพของศาสนาคริสตจักรเพื่อให้ถูกหลักของการจัดงาน

หลักการพิธีงานศพการจัดพิธีไว้อาลัยมีกำหนดไม่เกิน 3 วันในงานศพควรแต่งกายสุภาพเรียบร้อยควรรักษาความนบนอบ สามัคคีปรองดองและให้ความเคารพสถานที่ประเด็นที่ต้องปฏิบัติในการจัดงานศพเมื่อมีผู้เสียชีวิต ต้องรีบติดต่อแจ้งอาจารย์ของคริสตจักรทันที เพื่อปรึกษาหารือการจัดงานศพต่อไปปรึกษาหารือเกี่ยวกับพิธีไว้อาลัย และวันที่เคลื่อนศพไปฝังที่สุสานกำหนดมอบหมายผู้ที่รับผิดชอบการรับปัจจัยและพวงหรีดกระบวนการแจ้งการเสียชีวิตในกรณีการเสียชีวิตในโรงพยาบาล โรงพยาบาลนั้นจะออกหนังสือยืนยันเหตุแห่งการเสียชีวิต ให้นำหนังสือดังกล่าวไปแสดง ณ ที่ทำการเขตเพื่อรับใบมรณะบัตรในกรณีเสียชีวิตในบ้าน ให้ขอนายแพทย์ประจำตัวผู้ตายหรือนายแพทย์ที่เข้าใจเหตุแห่งการเสียชีวิตได้ ดี เป้นผู้ออกหนังสือยืนยันเหตุแห่งการเสียชีวิต ถ้าไม่สามารถปฎิบัติได้ให้ไปแจ้งความต่อพนักงาน สถานีตำรวจท้องที่ เพื่อการชันสูตรศพ เมื่อได้รับหนังสือยืนยันปห่งการเสียชีวิตหรือใบชันสูตรศพแล้ว ให้นำเอกสารดังกล่าวไปแสดง ณ ที่ทำการเขตเพื่อรับใบมรณะบัตรสถานที่ตั้งศพให้ติดต่อคณาจารย์ของคริสตจักรการใดหรือสิ่งใดที่ขัดกับความเชื่อของคริสตชน หรือคำสอนในพระคริสตธรรมคำภีร์ห้ามนำเข้าไปเกี่ยวข้องกับงานศพและสุสานสุสานฝังศพของคริสตจักรให้ติดต่อกรรมการสุสานของคริสตจักรญาติมิตรที่ไม่เป็นคริสตชนเสียชีวิต ควรไปร่วมงานศพเพื่อแสดงถึงความเอาใจใส่ของตริสตชนไม่จุดธูปและคุกเข่ากราบไหว้ผู้ตายไม่เข้าร่วมศาสนพิธีของศาสนาอื่นๆ ไม่ยอมรับการใดหรือการปฎิบัติใดที่ขัดกับความเชื่อตามหลักพระคริสตธรรมคัมภีร์

คริสตชนที่สังกัดต่างคริสตจักร แต่ได้มาร่วมนมัสการที่คริสตจักรแห่งนี้เป็นประจำไม่น้อยกว่า 1 ปี หากมีความประสงค์จะย้ายสมาชิกภาพ ควรปรึกษากับคณาจารย์คริสตจักรก่อน จากนั้นจึงติดต่อและแจ้งความจำนงไปยังคริสตจักรต้นสังกัดของตนเองเพื่อขอออก หนังสือโอนย้ายสมาชิกภาพเป็นลายลักษณ์อักษรให้นำหนังสือโอนย้ายสมาชิกภาพของคริสตจักรต้นสังกัด พร้อมกับกรอกแบบฟอร์มขอสมัครเป็นสมาชิกสมบูรณ์ โดยยื่นต่อคณาจารย์ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจากศิษยาภิบาล และคณะผู้ปกครองต่อไปหลังจากได้ผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากศิษยาภิบาลและคณะผู้ปกครองแล้วจึง สามารถเข้าพิธีรับโอนสมาชิกภาพอย่างเป็นทางการ โดยไม่ต้องเรียนหลักความเชื่อหรือรับบัพติศมาอีก

ความแตกต่างและความสำคัญของประเพณีการจัดงานศพของแต่ละศาสนา

13

ประเพณีงานศพ เมืองตรังมีทั้งชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิมและชาวไทยเชื้อสายจีน  ประเพณีงานศพเมืองตรังจึงมีพิธีกรรมที่แตกต่างไปตามศาสนาและความเชื่อดั้งเดิม แต่มีบางอย่างทีเหมือนกันอันแสดงถึงความเป็นตรังชาวไทยพุทธท้องถิ่นมีกิจกรรมงานศพหลายขั้นตอน นับแต่วันตาย วันตั้งศพ วันฌาปนกิจศพ และวันหลังฌาปนกิจศพ เมื่อมีคนตายก็จะกระจายข่าวให้รู้กันทั่วไป บรรดาญาติมิตรผู้สนิทสนามรู้จักมักคุ้นกับญาติผู้ตาย ก็จะไปร่วมโดยจิตสำนึกว่า เพื่อนที่ดีจะเห็นกันเมื่อตายเมื่อมีผู้ตาย พิธีแรกคือ การเตรียมบรรจุโลง ด้วยการจัดศพผู้ตายให้นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก จัดแต่งซองหมากพลูดอกไม้ ธูปเทียนให้ผู้ตายถือไว้แล้วคลุมด้วยผ้าจัดเตรียมโลงศพ อาบน้ำศพ แต่งตัวศพ นิมนต์พระภิกษุทำพิธีมัดตราสังและนำศพบรรจุโลง ซึ่งมีความเชื่ออยู่ว่า จะไม่บรรลุโลงในวันพุธ ถ้าวันตายเป็นวันพุธก็จะรอเวลาไว้ จนผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว จึงบรรจุศพลงโลง

การจัดงานศพในสมัยก่อน เจ้าภาพต้องเตรียมการอยู่หลายวัน เตรียมสถานที่ปลูกโรงพิธี โรงเลี้ยง โรงครัว จัดหาฟืน สิ่งของต่าง ๆ ที่จะใช้ในงานไปบอกกล่าวญาติมิตรที่อยู่ห่างไกล ดังนั้นจึงนำศพใส่โลงค้างไว้ก่อน เมื่อถึงวันที่เหมาะสมซึ่งมักจะเป็นหน้าแล้ง ก็จะนำมาบำเพ็ญกุศล อาจจัดพิธีที่บ้านหรือที่วัดตามสะดวกปัจจุบันเมื่อบรรจุศพแล้วส่วนใหญ่จะจัดงานต่อเนื่องจนเผาเรียบร้อยในคราวเดียวชาวตรังนิยมตั้งศพบำเพ็ญกุศลหลายวัน โดยถือเอาวันฤกษ์ดีเป็นวันยกศพไปเผาหรือฝัง ซึ่งมักจะจัดงานศพให้เสร็จสิ้นในช่วงเดือนไม่นิยมจัดงานศพฉีกขาข้ามเดือน หลังจากยกศพขึ้นแล้วก็จะจัดเตรียมงานจนถึงวันสำคัญในสามวันสุดท้าย คือ วันเข้าทับวันเข้าการและวันเผาเมื่อเริ่มงานก็มีจัดการตกแต่งโลง  ตอนกลางคืนมีสวดพระอภิธรรม กลางวัน ทำบุญถวายสังฆทาน เตรียมอาหารไว้จัดเลี้ยงผู้มาฟังสวดและนั่งเพื่อนศพ  มีมหรสพตามฐานะเจ้าภาพ เช่น หนังตะลุง มโนราห์ กาหลอ กลอนลาน เป็นต้น  ในวันเข้าทับอาจมีการจุดดอกไม้ไฟประเภท อ้ายตูม ตรวด เพื่อเป็นสัญญาณบอกข่าวการเตรียมงานศพ ในปัจจุบันที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ชาวตรัง คือ การพิมพ์ใบประกาศงานศพขนาดใหญ่ ปิดประกาศให้เพื่อนฝูงญาติมิตรทราบเพื่อจะได้มาร่วมงาน

กรรมวิธีมากมายของประเพณีงานศพที่สืบทอดต่อกันมา

4

ในประเพณีทั้งหลายที่มีสืบทอดกันมา จะขอกล่าวถึงประเพณีการทำศพที่เห็นว่ามีกรรมวิธีมากมายซึ่งอาจมีหลาย  ๆ  คนที่ไม่เข้าใจและทำตาม ๆ กันมาโดยไม่ทราบที่มาที่ไปของการกระทำนั้น  ๆ คำว่า “ศพ“ มาจากภาษาสันสกฤต ศวหมายถึงร่างคนที่ตายแล้วหรือซากผี มีคติความเชื่อว่ามีวิญญาณอยู่ในร่างกายคน เมื่อสิ้นลมหายใจ จะครบอายุขัยเพราะแก่ชรา  โดยภัยเบียดเบียนหรือเหตุใดก็ตามที เมื่อตายแล้ววิญญาณมี 3 ดวง เมื่อตายแล้วดวงหนึ่งจะเข้าไปสิงอยู่ในป้ายวิณญาณสำหรับลูกหลานเซ่นไหว้ในเวลาอันสมควร อีกดวงหนึ่งไปอยู่ที่หลุมฝังศพ สำหรับลูกหลานเซ่นไหว้เช่นกัน  อีกดวงหนึ่งไปยังยมโลกเพื่อรับรางวัลในบุญหรือรับโทษในบาปที่ตนก่อ อย่างไรก็ตามคนส่วนมากเชื่อกันว่าคนที่ตายไปแล้วนั้นตายแต่ร่างกายมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ตายแต่เปลี่ยนร่างเป็นอีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า ผี เป็นอมนุษย์มีทั้งผีดีและผีร้ายผีชั้นสูงที่เรียกกันว่าผีฟ้าที่เชื่อกันว่าอยู่บนสวรรค์ผีที่อยู่ในเมืองมนุษย์ ถ้าอยู่ตามหุบห้วยป่าดง เช่น เทพารักษ์เจ้าป่า เจ้าทุ่ง ถ้าอยู่ประจำท้องถิ่น สำหรับบ้านเรือนจะมีพระภูมิเจ้าที่ ผีเหย้าผีเรือน ผีปู่ย่า ตายาย ดังนั้นการทำศพจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับผีเกี่ยวกับผู้ตายจึงต้องมีพิธีกรรมเพื่อป้องกันผีไม่ให้มาทำคนเป็นเดือดร้อน

การอาบน้ำศพ คือการอาบน้ำชำระศพให้สะอาดเมื่ออาบน้ำแล้วต้องหวีผมหวีที่ใช้นั้นเมื่อเสร็จแล้วต้องหักทิ้ง ใช้ผ้าขาวนุ่งให้ศพโดยเอาชายพกไว้ข้างหลังเมื่อนุ่งห่มเช่นนี้แล้วให้นุ่งห่มตามธรรมดาทับอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นปริศนาธรรมอธิบายได้ว่าคนเราเกิดมาตายแล้วเกิดใหม่ ทนทุกขเวทนาเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น เมื่ออาบน้ำนุ่งผ้าหวีผมให้ศพเรียบร้อยแล้วจะต้องปิดหน้าศพ การปิดหน้าศพใช้ขี้ผึ้งหนาประมาณครึ่งนิ้ว กว้างยาวขนาดหน้าของศพ แผ่ปิดหน้าเหมือนปิดด้วยหน้ากากในราชสำนักถ้าเป็นพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินจะใช้แผ่นทองปิดพระพักตร์ นอกจากนี้มีกรวยดอกไม้ ธูปเทียน ใช้ดอกไม้หนึ่งดอกเทียนหนึ่งเล่มใส่กรวยใบตองให้ศพพนมมือถือไว้ เพื่อนำไปไหว้พระจุฬามณีบนสวรรรค์ความเชื่อถือของคนแต่ก่อนซึ่งถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมา ถ้าเอาความเห็นของคนถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมาถ้าเอาความเห็นเป็นการเชื่อถือกันอย่างเหลวไหลไม่มีเหตุผล ทั้งนี้เพราะเอาของใหม่ไปวัดของเก่าความเชื่อถือของคนในสมัยใดก็ย่อมต้องเป็นไปตามความต้องการของคนในสมัยนั้นเพราะจารีตประเพณีที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุผลที่ถือกันว่าเป็นคุณประโยชน์ต่อส่วนรวมจารีตประเพณีนั้นจะเสื่อมสลายไปหรือไม่อยู่ที่การแก้ไขให้เหมาะและแก้ไขเปลี่ยนแปลงพอกพูนกันเรื่อยมานับได้หลายชั่วอายุคนจนเกิดเป็นจารีตประเพณีในทุกวันนี้

การจัดงานศพแสดงความไว้อาลัยให้แก่การเสียชีวิตของบุคคลในครอบครัว

ประเพณีงานศพ คือ การปฏิบัติต่อผู้เสียชีวิตโดยญาติเป็นผู้บอกและเชิญให้ญาติพี่น้องคนอื่นๆ ตลอดจนมิตรสหายและผู้ที่นับถือทราบการจัดงานศพ พิธีจะเริ่มด้วยการอาบน้ำศพหรือรดน้ำลงที่มือศพเพื่อแสดงว่าเป็นการทำความสะอาดศพ ผู้ที่รดน้ำศพควรขอขมาต่อผู้เสียชีวิตด้วยหากเคยโกรธเคืองกันมาก่อน ต่อจากนั้นจึงเอาศพใส่โลงให้มิดชิด แล้วตั้งไว้ไม่เกิน 7 วันเป็นส่วนมาก เพื่อให้มีการสวดพระอภิธรรมและทำบุญให้ผู้เสียชีวิต จากนั้นจึงทำพิธีเผาศพและเก็บกระดูกไว้ในที่อันสมควร หากไม่เผาเพราะญาติพี่น้องไม่พร้อมก็จะเก็บไว้ในที่บรรจุที่วัดก่อน รอจนพร้อมแล้วจึงทำการเผาตามประเพณีไทย ผู้ที่ไปในงานศพควรแต่งกายไว้ทุกข์

งานศพ เป็นพิธีที่จัดขึ้นเพื่อแสดงความไว้อาลัยให้แก่การสียชีวิตของบุคคล จะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ และศาสนาในท้องถิ่น บุลคลที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคมจะได้รับพระราชทานเพลิศพ ซึ่งถือเป็นเกียรติต่อผู้เสียชีวิตและวงศ์ตรกูล ในงานศพจะมีระเบียบปฎิบัติหลายอย่าง ควรแต่งกายให้สุภาพให้เกียรติแก่ผู้เสียชีวิตการรดน้ำศพ ถือเป็นกาขอขมาโทษ นิยมรดน้ำศพเฉพาะท่านผู้ที่มีอายุมากกว่าเท่านั้น นิยมนำพวงหรีดไปด้วยเพื่อแสดงความไว้อาลัยและเป็นกำลังใจแก่ญาติผู้เสียชีวิต

การสวดศพ เจ้าภาพอาจจะใช้เวลา 5 วัน หรือ 7 วัน ตามความสะดวกและฐานะของเจ้าภาพ และนิมนต์พระสงฆ์ 4 รูป สวดศพอภิธรรมในการเผาศพ วันเผาศพนั้นจะต้องไม่ใช่วันศุกร์ วันพฤหัสบดี วันพระ วันเลขคู่ ในข้างขึ้น วันเลขคี่ในข้างแรม ในวันเผาศพจะมีการทำบุญและทำมาติกาบังสกุลก่อน จากนั้นก็จะเคลื่อนศพเวียนซ้าย 3 รอบ ยกขึ้นเชิงตะกอนหรือขึ้นเมรุ ผู้ที่มาร่วมงานศพจะนำดอกไม้จันทร์ที่เจ้าภาพแจกให้ขึ้นไปวางไว้ที่ฝาโลงศพ ซึ่งในพิธีการเผาศพจะมี 2 ช่วงคือ ช่วงแรกจะเรียกว่าการเผาหลอก คือพิธีการที่บรรดาญาติพี่น้องและแขกที่มาร่วมงานจะนำดอกไม้จันทน์ขึ้นไปวางไว้ แต่ยังไม่มีการจุดไฟจริง แต่พิธีการเผาจริงจะเป็นบรรดาญาติสนิทขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์ และมีการจุดไฟเผาจริง