การจัดงานศพเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของผู้ตาย เพื่อเป็นการบอกลาแก่ผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย

ความตายเป็นสัจธรรมของทุกชีวิตที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อตายไปแล้ว สิ่งที่ทำให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตประเภทอื่น คือการจัดให้มีพิธีกรรมหลังความตายที่เรียกว่าพิธีศพหรือการจัดงานศพ ซึ่งกลายเป็นประเพณีที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ตายไม่ว่าจะอยู่ในชนชั้นใด ในการจัดงานศพนี้จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายมากพอสมควร จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการและฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ตายและญาติเป็นสำคัญ หลายคนละเลยที่จะนึกถึงเรื่องนี้เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง หลายคนไม่อยากจะนึกถึงเพราะความตายเป็นเรื่องที่น่ากลัวและเป็นเรื่องอัปมงคลที่จะต้องมานึกถึงวันตายของตัวเอง แต่ความจริงแล้ว การลองคิดคำนวณถึงงบประมาณที่จะต้องใช้ในการจัดงานศพ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนควรจะทำเพื่อจัดเตรียมงบประมาณไว้จำนวนหนึ่งสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในพิธีศพของตนเอง ทั้งนี้ก็เพื่อให้ลูกหลานญาติมิตรที่อยู่เบื้องหลังไม่ต้องเดือดร้อน จึงเป็นที่มาของการจัดเตรียมงบประมาณส่วนหนึ่งไว้สำหรับการดังกล่าวในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ปรากฏให้เห็นผ่านการทำประกันชีวิตและการรวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์หรือกองทุนฌาปนกิจต่าง ๆ

ในปัจจุบันนี้มีผู้ให้บริการรับจัดงานศพแบบแบบครบวงจร (One stop service) นับตั้งแต่ขั้นตอนแรกหลังการตายไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการทำพิธีลอยอังคารได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนสมบูรณ์ โดยคิดค่าบริการแบบสมเหตุสมผล แต่สามารถช่วยอำนวยความสะดวกและแบ่งเบาภาระของญาติในการจัดงานศพได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความชำนาญในทุกขั้นตอนเป็นอย่างดี และยังสามารถจัดงานศพในรูปแบบต่าง ๆ ตามความต้องการของญาติได้อีกด้วย การใช้บริการการรับจัดงานศพจึงเป็นทางเลือกที่ญาติให้ความไว้วางใจและได้รับความนิบยมมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าจะจัดแบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคืองบประมาณที่ต้องใช้ซึ่งได้รับการจัดเตรียมไว้แล้วอย่างเหมาะสม แม้จะถือเป็นหน้าที่ของลูกหลานที่ดีที่จะต้องช่วยจัดการให้บุพการีผู้ล่วงลับ แต่หากเราสามารถทำด้วยตนเองได้ก็น่าจะเป็นการดีกว่า ประโยชน์ที่เกิดขึ้นคือการได้จัดงานอย่างสมเกียรติและถูกต้องเหมาะสมตามหลักประเพณี มากไปกว่านั้นคือความสบายใจของลูกหลานญาติมิตรผู้อยู่เบื้องหลังที่จะไม่ต้องเดือดร้อน เมื่อวันนั้นมาถึงเราก็จะได้จากไปอย่างมีความสุข เรียกได้ว่า นอนตายตาหลับ อย่างแท้จริง